วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การตรวจร่างกาย


การตรวจร่างกาย


โรคทางอายุรศาสตร์ โดย นายแพทย์อดุลย์ วิริยเวชกุล หลักเบื้องต้นในการวินิจฉัยและการรักษาโรคทางอายุรศาสตร์
จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเป็นแพทย์คือการรักษาผู้ป่วยให้หาย แต่ก่อนที่จะรักษาผู้ป่วย แพทย์จำเป็นจะต้องรู้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร จึงจะรักษาได้ถูกต้อง เรื่องราวที่ผู้ป่วยบอกแพทย์นั้นมิใช่โรค แต่เป็นอาการที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายหรือผิดปกติ ดังนั้นการรักษาโรคได้อย่างถูกวิธีนั้น จึงเป็นกระบวนการซึ่งประกอบด้วยวิธีการหลายขั้นตอน คือ การถามประวัติ การตรวจร่างกาย (การตรวจกายภาพ) การสืบค้นตลอดจนการรักษาและป้องกันโรค



หัวข้อ
ประวัติผู้ป่วย
การถามประวัติผู้ป่วย แพทย์จำเป็นจะต้องทราบข้อมูลทั่วๆ ไปเกี่ยวกับผู้ป่วย เช่น ชื่อ เพศ อายุ เชื้อชาติ ที่อยู่ สถานภาพสมรส อาชีพ และสถานที่เกิด จากนั้นจึงซักถามอาการและประวัติ
อาการสำคัญ คืออาการที่นำผู้ป่วยมาหาแพทย์หรือมาโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา รวมทั้งระยะเวลาที่มีอาการนั้น
ประวัติปัจจุบัน คือรายละเอียดของเรื่องราวการเจ็บป่วยหรืออาการที่ผู้ป่วยมาหาแพทย์ในครั้งนี้ประวัติปัจจุบันอาจมีระยะเวลาสั้นหรือยาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพที่ผู้ป่วยมีอาการ ผู้ป่วยที่เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบอาจมีประวัติเป็นมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในขณะที่ผู้ป่วยเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังอาจจะมีประวัติมานานเป็นปี อาการที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับประวัติปัจจุบันอาจจะมีมากกว่าหนึ่งอาการ และโดยมากแพทย์มักจะพยายามถามประวัติอาการดังกล่าวนั้นโดยละเอียด โดยเฉพาะระยะเวลาของแต่ละอาการที่เกิดขึ้น ลักษณะและวิธีการที่เกิดขึ้น ความถี่และความรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของอาการ ตลอดจนความเกี่ยวข้องกับอาการอื่นๆ รวมทั้งการรักษาที่เกี่ยวข้องกับอาการดังกล่าวซึ่งผู้ป่วยได้รับมาแล้วนั้นด้วย ในกรณีที่มีอาการหลายๆ อย่าง แพทย์มักเรียงลำดับอาการตามเวลาที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ แพทย์ยังมักจะถามประวัติตามระบบซึ่งอาจจะมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยโรคได้การถามประวัติตามระบบนี้ แพทย์มักจะถามอาการสำคัญที่อาจพบได้บ่อย และเกี่ยวข้องกับระบบต่างๆของร่างกายและจิตใจ
ประวัติอดีต หมายถึงเรื่องราวการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่เคยเป็นมาแล้วและไม่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยครั้งนี้ ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการของแผลในกระเพาะอาหาร แต่อาจจะมีประวัติในอดีตว่าเคยเป็นวัณโรคปอดเมื่อ ๑๕ ปีก่อน และเคยผ่าตัดต่อมทอนซิลเมื่อ ๑๐ ปีมาแล้ว เป็นต้น
ประวัติครอบครัว หมายถึงประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัวผู้ป่วย เช่น การเจ็บป่วยของบิดา มารดาบุตร และปู่ย่าตายาย เป็นต้น โดยเฉพาะประวัติของโรคที่อาจมีความเกี่ยวเนื่องกันได้กับการเจ็บป่วยที่ผู้ป่วยเป็นในครั้งนี้ นอกจากนี้ แพทย์ยังมักจะถามอายุ สุขภาพ สาเหตุของการถึงแก่กรรม และอายุที่ถึงแก่กรรมของสมาชิกในครอบครัว ตลอดจนอาจจะถามประวัติที่เกี่ยวข้องกับโรคที่พบได้บ่อยๆ เช่น เบาหวานความดันเลือดสูง วัณโรคปอด มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหืด และโรคแพ้ต่างๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในครอบครัว
ประวัติส่วนตัว คือ เรื่องราวส่วนตัวของผู้ป่วยเช่น คู่สมรส บุตร การทำงาน การเจริญเติบโตในวัยเด็กและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ประวัติส่วนตัวมักรวมถึงนิสัยประจำของผู้ป่วย เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ยาที่ใช้เป็นประจำ ตลอดจนความสัมพันธ์กับสังคมต่างๆ การศึกษา รายได้และฐานะหรือปัญหาทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอาชีพ สิ่งแวดล้อมอื่นๆ และสถานที่ซึ่งผู้ป่วยอาศัยอยู่ หรือได้เคยอาศัย หรือได้เคยไปมาแล้ว ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยในครั้งนี้
การตรวจร่างกาย
อาการแสดงแห่งชีวิต ได้แก่ การตรวจอุณหภูมิ ชีพจร การหายใจ และความดันเลือดของผู้ป่วยนอกจากนี้ยังอาจจะรวมถึงการตรวจวัดน้ำหนักตัวและส่วนสูงด้วย
ลักษณะทั่วไป ได้แก่ การตรวจดูลักษณะโดยทั่วไป ตลอดจนกระทั่งท่าทางการเดิน ท่าทีของผู้ป่วยในขณะกำลังตรวจ ดูลักษณะว่าผอม อ้วน เตี้ยหรือสูงกว่าธรรมดา มีอาการหอบ บวม เขียวคล้ำ และซีดหรือไม่ การสังเกตความพิการที่อาจเห็นได้ง่าย รวมทั้งความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้ป่วยที่มีต่อการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่
การตรวจตามระบบ ได้แก่ การตรวจตามระบบต่างๆ ของร่างกายให้ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยของผู้ป่วยที่กำลังเป็นอยู่

การตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะในห้องปฏิบัติการ
การสืบค้น
การสืบค้นประจำ ส่วนใหญ่เป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการง่ายๆ หรือการตรวจที่อาจกระทำได้ข้างเตียงผู้ป่วย เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาเฮโมโกลบินจำนวนเม็ดเลือดแดง จำนวนและชนิดของเม็ดเลือดขาวการตรวจปัสสาวะและอุจจาระ เป็นต้น
การสืบค้นพิเศษ คือการสืบค้นอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในการวินิจฉัยโรค หรือช่วยในการแยกโรคการสืบค้นพิเศษนี้อาจเป็นการตรวจในห้องทดลองหรือไม่ได้ เช่น การตรวจทางรังสีวิทยา การวิเคราะห์หาปริมาณหรือระดับของสารเคมีต่างๆ ในเลือด การตรวจโดยใช้สารทึบรังสี การตัดเนื้อ (biopsy) เพื่อนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ การฉีดสารทึบรังสีเข้าหลอดเลือด (angiography) การใช้กล้องส่องดูหลอดลม (bronchoscopy) การใช้กล้องส่องดูกระเพาะอาหาร (gastroscopy) และการตรวจโดยอาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ (computed tomography) เป็นต้น แพทย์มักสั่งหรือกระทำการสืบค้นพิเศษเมื่อมีข้อชี้บ่งที่แน่นอนและการสืบค้นพิเศษดังกล่าวนั้นไม่เป็นอันตราย ไม่เป็นโทษ หรือก่อให้เกิดการเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยเกินความจำเป็น ตลอดจนต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้เมื่อเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่อาจได้จากการสืบค้นนั้นๆ ด้วย

การสืบค้นพิเศษโดยการใช้กล้องส่องดูกระเพาะอาหาร
การวินิจฉัยโรค
ในการวินิจฉัยโรคนั้นแพทย์ต้องอาศัยข้อมูลบางส่วนหรือทั้งหมดจากการดำเนินงานตามกระบวนการต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เพื่อที่จะบอกว่าการเจ็บป่วยของผู้ป่วยนั้นมีร่องรอยของโรคอยู่ที่บริเวณใดของร่างกาย หรือเกิดจากพยาธิสภาพชนิดใด หรือมีธรรมชาติของโรคเป็นอย่างไร ตลอดจนอยู่ในระยะใดของโรค เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ในบางครั้งแพทย์ไม่สามารถจะทำการวินิจฉัยโรคได้โดยอาศัยขั้นตอนดังกล่าว หรือมีความจำเป็นบางประการไม่สามารถรอการรักษาได้ ในกรณีเช่นนี้ แพทย์อาจต้องให้การรักษาไปก่อน โดยคิดว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นอะไรได้มากที่สุด และถ้าผู้ป่วยหายจากโรคดังกล่าวโดยการรักษาที่ให้นั้น ก็อนุมานเอาว่าผู้ป่วยเป็นโรคนั้น วิธีการดังกล่าว เรียกว่า การวินิจฉัยโดยการรักษา (therapeutic diagnosis) อย่างไรก็ดี หากเป็นไปได้แพทย์มักหลีกเลี่ยงการให้การรักษาก่อนให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องแน่นอน

การรักษา
การรักษาเฉพาะ คือ การรักษาตามสาเหตของโรคโดยการใช้ยาหรือโดยวิธีการอื่น ซึ่งมีผลเป็นการบำบัดสาเหตุ และทำให้โรคนั้นหายไป เช่น การรักษาโรคไทฟอยด์ ปอดบวม โดยการให้ยาเฉพาะตามสาเหตุนั้นๆ
การรักษาตามอาการ คือการรักษาตามอาการของผู้ป่วย เช่น ปวดศีรษะ ก็ให้ยากินแก้ปวด ไอก็ให้ยาระงับอาการไอ การรักษาตามอาการมีจุดประสงค์เพื่อให้อาการนั้นหายไปโดยมิได้รักษาสาเหตุ ดังนั้นผู้ป่วยอาจกลับมีอาการดังเดิมถ้ามิได้ให้ยาระงับอาการนั้นๆ ไว้ หรือยาที่ให้นั้นหมดฤทธิ์ โดยปกติแพทย์จะให้การรักษาตามอาการเมื่อจำเป็น ในขณะที่ยังไม่ทราบสาเหตุ หรือกำลังหาสาเหตุอยู่ โดยหวังว่าเมื่อพบสาเหตุแล้วจะได้ให้การรักษาเฉพาะได้ การรักษาตามอาการอาจมีผลเสียได้ เช่น ผลเสียที่เกิดจากการให้ยาระงับอาการนั้นเอง โดยยาระงับอาการอาจกลบอาการ ทำให้แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ หรือวินิจฉัยโรคได้ช้าหรือลำบากขึ้น
การรักษาประคับประคอง คือ การรักษาเพื่อประคับประคอง หรือพยุงอาการทั่วๆ ไปของผู้ป่วยให้ดีขึ้น เป็นการเพิ่มความต้านทาน ตามธรรมชาติให้แก่ร่างกายผู้ป่วยอีกวิธีหนึ่ง ตัวอย่างของการรักษาประเภทนี้ ได้แก่ การแนะนำให้พักผ่อน การให้น้ำเกลือหรือกลูโคสในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารได้น้อยเพราะเหตุใดก็ตาม เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ เป็นต้น การรักษาโดยการให้วิตามินและแร่ธาตุจำเป็นแก่ร่างกายการพยาบาลที่ดี และกายภาพหรือสรีรบำบัด (physiotherapy) วิธีต่างๆ เป็นต้น
การรักษาบรรเทาอาการ เป็นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการผู้ป่วยมิให้เลวลง หรือให้เลวลงช้ากว่าปกติ การรักษาประเภทนี้ใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังหรือโรคที่ทราบแน่นอนว่ารักษาไม่หาย เช่น การให้ยาต้านมะเร็ง หรือการใช้รังสีบำบัด (radiotherapy) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง
จิตวิทยารักษา เป็นการรักษาที่มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อทำให้ผู้ป่วยมีจิตใจและอารมณ์ดีขึ้น ผู้ป่วยที่มีโรคของร่างกายจะมีความผิดปกติทางจิตใจด้วยเสมอและเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่ต้องรักษาผู้ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ สุภาษิตโบราณอันหนึ่งถึงกับกล่าวว่า "ไม่มีโรคมีแต่ผู้ป่วย" ซึ่งมีความมุ่งหมายที่จะให้รักษาผู้ป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ มิใช่แต่รักษาโรคทางกายเท่านั้น วิธีหนึ่งของจิตวิทยารักษา คือ การที่แพทย์ให้ความเชื่อมั่น อธิบายธรรมชาติของโรคให้ผู้ป่วยฟังโดยใช้คำพูดง่ายๆ เพื่อเป็นการระงับอาการวิตกกังวลจากโรคทางกายที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
การป้องกัน
การป้องกันนับว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาโรค วิธีการในกระบวนการป้องกันโรคมีความสัมพันธ์กับผู้ป่วย พาหะของโรค สิ่งแวดล้อม แพทย์ และผู้ที่มีส่วนร่วมในการบำบัดรักษารวมทั้งเจ้าหน้าที่ในทางสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องด้วย ในการป้องกันโรคใดๆ ก็ตาม หากเป็นไปได้ควรจะป้องกันมิให้มีการเกิดโรคนั้น แต่ถ้าโรคนั้นได้เกิดขึ้นแล้วก็ต้องพยายามรักษาหรือขจัดโรคนั้นๆ ให้หมดสิ้นโดยเร็วไปพร้อมๆ กันด้วย อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงเรื่องราวของโรค และวิธีการป้องกันมิให้เป็นโรคนั้นๆ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ผู้ป่วยพึงได้รับ และเป็นวิธีที่จะทำให้สุขภาพของผู้ป่วยและชุมชนดีปราศจากโรคภัยไข้เจ็บและทำให้สามารถประกอบอาชีพได้เต็มที่


  อ้างอิง     http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?select=1&q=%A1%D2%C3%B5%C3%C7%A8%C3%E8%D2%A7%A1%D2%C2


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น